วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วันที่พสกนิกรชาวไทยเสียใจที่สุด


ซื้อเสื้อเหลือง เตรียมไว้ ใส่วันพ่อ
แขวนในตู้ เพื่อรอ วันสวมใส่
5 ธันวา เหลืองชมพู ดูวิไล
ปีนี้ไซร้ ต้องใส่ดำ ช้ำระทม


น้ำตาไหล ใจตื้อ มือไม้สั่น
อยากให้เป็น เพียงฝัน วันขื่นขม
ข่าวพ่อสิ้น ทั้งแผ่นดิน เศร้าโศกตรม
น้ำตาถม ท่วมพื้น พสุธา


จอภาพดำ ปรากฏ หมดสิ้นแล้ว
ร่มโพธิ์แก้ว โพธิ์ทอง ของปวงข้า
เคยอาศัย ใบบุญ อุ่นชีวา
ชาวประชา ร่ำไห้ อาลัยรัก


ขอพ่อหลวง เสด็จด้าว แดนสวรรค์
รักของพ่อ นิจนิรันดร์ แจ้งประจักษ์
ทุกโอวาท มอบไว้ ให้ลูกรัก
ฝากสลัก บนแผ่นดิน อย่าสิ้น "ไทย"


cr.Radrane Bhum

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ช็อคอัพระบบหัวกลับ (INVERTED SHOCKS) คืออะไร ดียังไง?


ช็อคอัพระบบหัวกลับ (INVERTED SHOCKS) 
ระบบช่วงล่างรถยนต์โดยทั่วไปการติดตั้งช็อคอัพจะมีห้องน้ำมันอยู่ด้านล่าง แต่ระบบหัวกลับห้องน้ำมันจะอยู่ด้านบน ทำให้น้ำหนักส่วนใหญ่ของระบบจะอยู่ด้านบนซึ่งจะมีผลโดยตรงกับการลดน้ำหนักใต้สปริง(Unsprung Weight)

- Sprung Weight and Unsprung Weight มีผลต่อการทำงานของช่วงล่างอย่างไร
ตัวถังรถยนต์จะถูกรองรับด้วยสปริง น้ำหนักของตัวถังและส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ถูกรองรับด้วยสปริงนั้น
รียกว่า น้ำหนักเหนือสปริงหรือสปรังเวต (Sprung Weight) 

ส่วนที่ไม่ได้ถูกรองรับด้วยสปริง เช่น ล้อ เพลา และส่วนอื่น ๆ เรียกว่า น้ำหนักใต้สปริงหรืออันสปรังเวต (Unsprung Weight)

โดยทั่วไปน้ำหนักเหนือสปริงจะมีมากกว่าน้ำหนักใต้สปริง ซึ่งจะทำให้เกิดความนิ่มนวลในการขับขี่และ มีเสถียรภาพที่ดีกว่า นอกจากนั้นยังช่วยลดแรงเหวี่ยงและแรงกระแทกของตัวถัง ในทางตรงกันข้าม ถ้าน้ำหนักใต้สปริงมีมากกว่า จะทำให้ตัวถังรถเกิดการโคลงและสั่นสะเทือน เป็นผลให้การขับขี่
และการทรงตัวไม่ดีเท่าที่ควร



- Sprung Weight and Unsprung Weight มีผลต่อการทำงานของช่วงล่างอย่างไร
ตัวถังรถยนต์จะถูกรองรับด้วยสปริง น้ำหนักของตัวถังและส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ถูกรองรับด้วยสปริงนั้นเรียกว่า น้ำหนักเหนือสปริงหรือสปรังเวต (Sprung Weight) 

ส่วนที่ไม่ได้ถูกรองรับด้วยสปริง เช่น ล้อ เพลา และส่วนอื่น ๆ เรียกว่า น้ำหนักใต้สปริงหรืออันสปรังเวต (Unsprung Weight)

โดยทั่วไปน้ำหนักเหนือสปริงจะมีมากกว่าน้ำหนักใต้สปริง ซึ่งจะทำให้เกิดความนิ่มนวลในการขับขี่และ มีเสถียรภาพที่ดีกว่า นอกจากนั้นยังช่วยลดแรงเหวี่ยงและแรงกระแทกของตัวถัง ในทางตรงกันข้าม ถ้าน้ำหนักใต้สปริงมีมากกว่า จะทำให้ตัวถังรถเกิดการโคลงและสั่นสะเทือน เป็นผลให้การขับขี่และการทรงตัวไม่ดีเท่าที่ควร


รถยนต์ระดับไฮเพอร์ฟอร์มานซ์ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับน้ำหนักใต้สปริงเพื่อให้สามารถเซ็ทช่วงล่าง


ให้มีสมรรถนะสูงสุดได้โดยไม่กระด้าง-สะเทือน การลดน้ำหนักของระบบช่วงล่างทำได้โดยเปลี่ยนมาใช้วัสดุน้ำหนักเบาผลิตชิ้นส่วนประกอบ เช่น ปีกนกอลูมิเนียม


ช็อคอับแบบหัวกลับก็เป็นวิธีการลดน้ำหนักใต้สปริงวิธีหนึ่งที่นิยมใช้ในรถยนต์ชั้นสูง 
เช่น Lotus Elise ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดรถยนต์ที่มีการบังคับควบคุมดีมาก ก็ใช้ช็อคอับแก๊สแบบหัวกลับทั้ง 4 ล้อ

SHOP68 : 084-100-0068
LINE : DUKE68

#tein #DAMPER #shop68 


วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

วิธีสังเกตุ “โช๊คอัพ” เสื่อมสภาพเบื้องต้น



ช็อคอัพเป็นชิ้นส่วนสำคัญในรถยนต์ ที่ช่วยให้เกิดทั้งความนุ่มนวล ปลอดภัย ในด้านสมรรถนะการขับขี่ และเป็นชิ้นส่วนที่ทำงานหนักแทบจะตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ จึงควรให้ความสำคัญกับโช้คอัพ และหมั่นตรวจเช็คสภาพ
วิธีการดูว่าโช๊คอัพของเรานั้นเสื่อมสภาพมีวิธีดูง่ายแค่สังเกต….
 1.) ลองทำการกดรถยนต์ด้านหน้า หากทำแล้วตัวรถมีการเด้งขึ้น-ลง หลายๆครั้งนั้นคือสิ่งที่บอกถึงการเสื่อมสภาพของตัวโช๊คแล้ว
 2.) รถเกิดอาการโคลงเคลงผิดปกติ ขณะที่จอดแล้วขับรถออกตัวมาด้วยความเร็วปกติ หน้ารถกลับเชิดขึ้นมากกว่าเดิม และในขณะที่ขับรถมาด้วยความเร็วต่ำแล้วเบรก หน้ารถทิ่มลงไปมาก สาเหตุเกิดจากโช๊คอัพเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว
3.) ตรวจรอยรั่วของน้ำมันบริเวณโช๊ค เพราะถ้าตรวจเจอนั้นแสดงว่าโช๊คมีรอยรั่ว
 4.) ดอกยางสึกไม่เท่ากัน ให้ตรวจดูหน้ายางรถยนต์ หากดอกยางสึกผิดปกติ สึกไม่สม่ำเสมอกัน เป็นบั้ง แสดงว่าโช๊คอัพมีปัญหา
 5.) หลังจากใช้งานนั้น ให้นำมือสัมผัสกับกระบอกโช๊ค หากมีความร้อนแสดงว่าโช๊คยังสามารถใช้การได้อยู่
 6.) โช๊คอัพเบี้ยว หรือผิดรูปทรง ให้เช็กดูที่ตัวโช๊คอัพ ว่ามีอาการแบบนี้ หรือมีความผิดปกติ บิดเบี้ยวของกระบอกโช๊ค แกนโช๊คมีอาการคดงอ
 7.) เมื่อขับรถที่มีความเร็ว 80 กม./ซ.ม. รถจะมีอาการร่อน
เพียงสังเกตตามขั้นที่แนะนำไปแล้วนั้น หากเจอข้อผิดสังเกตก็ควรรีบเปลี่ยนหรือนำรถเข้าอู่ให้ช่างที่มีความชำนาญ ตรวจดูกันให้ชัวร์เลยดีกว่าจะได้ทำการซ่อมแซม เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนนของตัวเรา และผู้ร่วมทางคนอื่น

 084-100-0068 

: SHOP68 (WWW.SHOP68.NET)

LINE : DUKE68

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

เรื่องของสปริง





ค่า k ของสปริงรถยนต์คือค่าความแข็งของ ขดสปริงรถยนต์หรือคอลย์สปริง ที่ใช้ในระบบรองรับน้ำหนักรถยนต์

     สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ เมื่อทำการออกแบบระบบรองรับน้ำหนักรถยนต์ วิศวกรจะต้องกำหนดค่า k ของคอลย์สปริงให้เหมาะสมกับการใช้งานและน้ำหนักของรถยนต์ เพื่อให้ได้สมรรถนะการขับขี่และยึดเกาะถนนที่ดี รวมถึงการทรงตัว และความนุ่มนวลในการขับขี่ โดยสอดคล้องกับการใช้งานจริ

     รถยนต์ในแต่ละยี่ห้อจะมีค่า k ที่แตกต่างกันออกไป ถึงแม้ในรถบางรุ่นที่ใช้ตัวถังเดียวกัน แต่ต้องดูว่ามีอะไรแตกต่างกันบ้าง เช่น ขนาดของเครื่องยนต์ ตำแหน่งการจัดวางเครื่อง การออกแบบระบบขับเคลื่อน ระบบกันสะเทือน น้ำหนักรถยนต์รวมทั้งความสามารถในการรับน้ำหนักบรรทุกขณะใช้งาน

    ค่า K ของสปริง (Spring Rate)คือค่าความแข็ง-อ่อนของสปริงที่จะยุบตัวตามสัดส่วนตามน้ำหนักที่กดทับ โดยมีหน่วยเป็น Kg/mm ,N/mm หรือ Lbs/in ( 1 Kg/mm = 9086 N/mm = 56 Lbs/in)
          ตัวอย่างเช่น สปริงมีค่า K = 5 Kg/mm แสดงว่าสปริงตัวนี้ เมื่อมีน้ำหนัก 5 กิโลกรัมมากดทับ สปริงจะยุบตัวลง 1 มิลลิเมตร
          เพราะฉะนั้น สปริงที่ค่า k มากจะยุบตัวหรือแข็งกว่าสปริงที่มีค่า k น้อย
ชนิดของสปริง

           ชนิดของสปริง

              1.  Linear Spring คือสปริงที่มีระยะห่างระห่างขดเท่ากันตลอดทั้งวง เช่นแต่ละขดห่างกัน 20 ม.ม.ตลอดทั้งวง สปริงนี้จะมีค่า k เดียว

              2.  Step Spring   คือสปริงที่มีระยะห่างระหว่างขดแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือมีทั้งขดถี่และห่างในวงเดียวกัน เช่นห่างกัน 15 และ 25 ม.ม.เท่ากับว่าสปริงนี้มีค่า k  2 ค่าในวงเดียวกัน  เมื่อมีน้ำหนักมากดทับ ขดที่ถี่กว่าจะยุบตัวก่อน (ค่า  k น้อย) จนเมื่อน้ำหนักมากขึ้นขดสปริงที่ห่าง(ค่า k มาก)จะมารับช่วงต่อเป็นการทำงานที่ต่อเนื่อง และประสานความนุ่มนวลขณะคลาน และมั่นคงในการขับขี่ขณะกดคันเร่งลึกๆ

             3.   Progressive Spring คือสปริงที่มีระยะห่างระหว่างขดไม่เท่ากันเลย จะมีระยะห่างระหว่างขดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่า k ของแต่ละขดจะไม่เท่ากัน สปริงนี้จะค่อยๆเพิ่มความแข็งขึ้น ไปจนถึงค่า k สูงสุด  ขับช้าก็นิ่ม ยิ่งเร็วยิ่งแข็งขึ้นตามลำดับอย่างต่อเนื่อง

ค่า k ของสปริงแข็ง เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้ความเร็วสูง จะช่วยให้ยึดเกาะถนนทรงตัวดี แต่หากใช้กับการใช้งานทั่วไปที่ความเร็วต่ำจะขาดความนุ่มนวลไปบ้าง แต่ก็ขึ้นกับปัจจัยอื่นประกอบ

ค่า k ของสปริงอ่อน เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานในความเร็วต่ำๆ ซึ่งจะให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ แต่เมื่อใช้ความเร็วสูงๆ จะทำใหรถมีอาการโยนตัวหรือโคลงได้

ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า หลายคนเมื่อซื้อรถยนต์ใหม่ก็อยากที่จะไปตกแต่งระบบกันสะเทือนใหม่ โดยใช้วิธีเปลี่ยนล้อ เพิ่มขนาดล้อ ดัดแปลงคอลย์สปริงด้วยการตัดหรือเปลี่ยนใหม่ แม้กระทั่งยกชุดเปลี่ยนโช้คอัพใหม่ทั้ง 4 ตัว ตามร้านประดับยนต์ทั่วไป

ดังนั้น หากผู้ใช้รถมีความประสงค์ที่จะดัดแปลงระบบช่วงล่างให้แตกต่างจากโรงงานกำหนด ควรคำนึงถึงค่า k ว่าเหมาะสมกับการใช้งานจริงหรือไม่ หรือสอบถามผู้ที่ชำนาญก่อนตัดสินใจ

หรือใช้ช่วงล่างที่ผลิตมาเฉพาะสำหรับสเปครถรุ่นนั้นๆ


: 084-100-0068 
: SHOP68 (WWW.SHOP68.NET)
LINE : DUKE68

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

Monotube กับ Twin Tube คืออะไร มีการทำงานต่างกันอย่างไร


โช๊คอัพ เป็นส่วนที่ช่วยในการเกาะถนนของรถยนต์ละเป็นที่รองรับน้ำหนักทั้งหมดของตัวรถ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า โช๊คอัพนั้นจะมีการทำงานที่แตกต่างกันอยู่ 2 ระบบด้วยกัน คือระบบ Monotube กับ ระบบ Twin Tubeซึ่งการทำงานของทั้ง 2 ระบบนี้มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร 



ระบบ Twin Tube 
          ถูกออกแบบให้มีห้องน้ำมันและห้องแก๊ส 2 ชั้นซ้อนกัน ซึ่งห้องด้านในจะเป็นตัวลูกสูบที่มีน้ำมันบรรจุอยู่ภายใน ส่วนห้องด้านนอกจะบรรจุด้วยแก๊ส และเมื่อโช๊คอัพมีการยุบตัวลงตัวลูกสูบจะดันน้ำมันลงมาผ่านทางเบสวาล์วเพื่อน้ำมันจะไหลไปสู่ตัวห้องแก็สด้านนอก เมื่อโช๊คอัพมีการยืดตัวขึ้น น้ำมันในห้องด้านในลูกสูบและเบสวาล์วจะหน่วงลูกสูบไม่ให้เคลื่อนขึ้นเร็วเกินไป


ระบบ Monotube
          จะมีลูกสูบที่ขนาดใหญ่กว่าระบบ Twin Tube ทำให้จุน้ำมันได้มากกว่า ส่วนห้องน้ำมันกับแก๊สจะแยกกันซึ่งจะถูกกั้นโดยตัวลูกสูบเอง โดยห้องลูกสูบที่บรรจุน้ำมันจะอยู่ด้านบน ส่วนห้องที่เป็นแก๊สนั้นจะอยู่ด้านล่าง ซึ่งจะทำให้ไม่มีการผสมกันระหว่างน้ำมันกับตัวแก๊ส เมื่อโช๊คอัพได้มีการยุบตัวลง ตัวลูกสูบก็จะดันน้ำมันลงมาแล้วจะเกิดแรงดันจากตัวห้องแก๊สที่อยู่ด้านล่าง เมื่อเกิดแรงดันที่มากเกินไปห้องแก๊สด้านล่างก็จะดันตัวลูกสูบให้กลับขึ้นไปให้อยู่ในตำแหน่งเดิม



ข้อดี ของโช๊คอัพระบบ Monotube
  • ด้วยที่ระบบ Monotube มีลูกสูบที่ใหญ่กว่าและสามารถจุน้ำมันได้มากกว่าทำให้มีการตอบสนองในการขับขี่ที่ดีขึ้น ไม่กระด้าง เพราะตัวน้ำมันกับแก๊สนั้นอยู่ในกระบอกเดียวกัน
  • โครงสร้างของ Monotube นั้นจะแยกส่วนของน้ำมันกับแก๊สอย่างชัดเจน ทำให้ไม่เกิดการผสมกันระหว่างตัวน้ำมันกับตัวแก๊ส
  • ตัวกระบอกสูบน้ำมันของ Monotube นั้นเป็นกระบอกสูบแบบชั้นเดียวทำให้ระบายความร้อนของน้ำมันสู่ผิวนอกได้โดยตรง และส่งผลให้น้ำมันและแก๊วในกระบอกสูบร้อนช้ากว่า ไม่เหมือนกับระบบ Twin Tube ที่เป็นแบบระบบกระบอก 2 ชั้น ซึ่งจะมีความร้อนสะสมมาก เมื่อขับที่ระยะทางที่ไกลๆ จะทำให้เกิดฟองอากาศและแก๊สขยายตัว ส่งผลให้การทำงานของโช๊คนั้นนิ่มลง
          จะเห็นได้ว่าโช๊คอัพในระบบ Monotube นั้นดีกว่าในเรื่องการใช้งาน แต่ข้อเสียของมันก็คือ มีราคาแพงมากกว่าโช๊คอัพระบบ Twin Tube ซึ่งเพื่อนๆก็ควรเลือกตัดสินใจและทำการศึกษาโช๊คอัพในแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก่อนว่า เป็นโช๊คอัพระบบไหน คุ้มค่าและตรงกับการใช้งานหรือไม่ 

: 084-100-0068 
: SHOP68 (WWW.SHOP68.NET)
LINE : DUKE68

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

มุมคิงพิน คืออะไร


มุมคิงพิน (มุมเอียงแกนบังคับเลี้ยว)  เป็นตัวรับน้ำหนักจากรถไปยังล้อ และขณะเดียวกันก็เป็น เพลาของศูนย์ล้อด้วยมุมของ คิงพิน มีส่วนสัมพันธ์กับมุมของ แคมเมอร์ มาก คิงพิน จะช่วยทำให้การบังคับพวงมาลัยทำได้ง่าย และเมื่อเลี้ยวไปแล้วพวงมาลัยสามารถคืนกลับมาได้เอง คิงพิน นี้เหมือน กับ แคมเมอร์ ทำให้น้ำหนักรถกดลงที่ด้านนอกของยาง ถ้า คิงพิน ผิดพลาด ผลก็คือ จะทำ ให้ยางสึกหรอด้านเดียว 


: 084-100-0068 
: SHOP68 (WWW.SHOP68.NET)
LINE : DUKE68